ผักโขม (Amaranthus)

ผักโขม (Amaranthus)

ผักโขม (Amaranthus spp.) เป็นพืชในตระกูล Amaranthaceae ที่พบได้ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก เป็นผักใบเขียวที่เติบโตเร็วและอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย จึงเป็นที่นิยมใช้ในอาหารหลากหลายประเภท โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  • ชื่อวิทยาศาสตร์: Amaranthus spp.
  • ลำต้น: ตั้งตรงหรือทอดเลื้อย มีสีเขียวถึงแดง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
  • ใบ: รูปไข่หรือรูปหอก สีเขียวหรือม่วงแดง ขอบใบเรียบ
  • ดอก: ออกเป็นช่อที่ปลายยอด สีเขียว เหลือง หรือแดง
  • ผลและเมล็ด: เมล็ดเล็ก สีขาว ครีม หรือดำ สามารถใช้เป็นอาหารได้
ผักโขม (Amaranthus)

ประเภทของผักโขม

  1. Amaranthus viridis – ผักโขมไทยใบเขียว นิยมรับประทานยอดอ่อนและใบ
  2. Amaranthus tricolor – ผักโขมสี มักมีใบสีแดง ม่วง หรือเหลือง
  3. Amaranthus caudatus – ผักโขมหางสิงห์ นิยมใช้เมล็ดเป็นอาหาร
  4. Amaranthus cruentus – ผักโขมสำหรับเก็บเมล็ด ทำแป้งหรือธัญพืชทางเลือก

ฤดูการปลูกและการเก็บเกี่ยว

  • ฤดูปลูก: สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่เติบโตได้ดีในช่วงฤดูฝน
  • ระยะเวลาในการเติบโต: เก็บเกี่ยวได้ใน 25-45 วันหลังจากเพาะเมล็ด
  • การเก็บเกี่ยว: ใช้มีดตัดยอดอ่อนหรือถอนทั้งต้นเมื่อเติบโตเต็มที่

คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม)

  • พลังงาน: 23 กิโลแคลอรี
  • โปรตีน: 2.5 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต: 4.6 กรัม
  • ใยอาหาร: 2.2 กรัม
  • วิตามินเอ: 2917 IU (ช่วยบำรุงสายตา)
  • วิตามินซี: 43 มิลลิกรัม (เสริมภูมิคุ้มกัน)
  • แคลเซียม: 215 มิลลิกรัม (บำรุงกระดูกและฟัน)
  • เหล็ก: 2.3 มิลลิกรัม (ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง)

สรรพคุณทางยาและประโยชน์ต่อสุขภาพ

  1. บำรุงสายตา – วิตามินเอช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
  2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามินซีช่วยป้องกันการติดเชื้อ
  3. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด – ใยอาหารช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  4. บำรุงกระดูกและฟัน – แคลเซียมและแมกนีเซียมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
  5. ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ – โพแทสเซียมช่วยควบคุมความดันโลหิต
  6. ช่วยย่อยอาหารและป้องกันท้องผูก – ใยอาหารช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย
  7. ต้านอนุมูลอิสระ – สารฟลาโวนอยด์และเบตาแคโรทีนช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง

การใช้ผักโขมในอาหาร

ผักโขมสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น:

  • ผัดผักโขม – ผัดกับกระเทียมและน้ำมันหอย
  • แกงจืดผักโขม – ต้มกับเต้าหู้และหมูสับ
  • ผักโขมลวกจิ้มน้ำพริก – ทานคู่กับน้ำพริกกะปิหรือน้ำพริกปลาร้า
  • สลัดผักโขม – ผสมกับผักสดและน้ำสลัดเพื่อสุขภาพ
  • ซุปผักโขม – ต้มผักโขมกับน้ำซุปไก่หรือเนื้อ
  • ผักโขมอบชีส – ผัดกับเนยและกระเทียมแล้วอบกับชีสจนหอม
  • เมล็ดผักโขม – นำไปทำแป้ง หรือใส่ในขนมปังและซีเรียล

วิธีการแปรรูปผักโขม

  1. การทำแป้งจากเมล็ดผักโขม
    • เก็บเมล็ดจากต้นที่โตเต็มที่
    • ตากแห้งและนำไปบดเป็นผง
    • ใช้เป็นส่วนผสมในขนมปังและแป้งทำอาหาร
  2. การทำชาผักโขม
    • ตากใบให้แห้งสนิท
    • บดเป็นผงและนำไปชงดื่มเพื่อสุขภาพ

วิธีการปลูกผักโขม

  1. การเตรียมดิน – ใช้ดินร่วนซุยที่ระบายน้ำดี
  2. การเพาะเมล็ด – หว่านเมล็ดลงดินโดยให้ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 15-20 ซม.
  3. การดูแลรักษา – รดน้ำเป็นประจำและใส่ปุ๋ยอินทรีย์ทุก 2 สัปดาห์
  4. การเก็บเกี่ยว – ตัดใบและยอดอ่อนเมื่อมีขนาดโตเต็มที่

ข้อควรระวัง

  • ควรล้างให้สะอาดก่อนบริโภค – เพื่อลดสารตกค้างจากสารเคมี
  • การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม – การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะออกซาเลตสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อไต
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานดิบมากเกินไป – เนื่องจากอาจมีสารที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม

สรุป

ผักโขม (Amaranthus) เป็นพืชใบเขียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลาย นิยมใช้เป็นอาหารและวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ การบริโภคผักโขมไทยอย่างเหมาะสมและปรุงสุกอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากพืชชนิดนี้