โดยปกติการปลูกพืชในที่โล่งแจ้งกับพืชท้องถิ่นทั่วไปมักจะไม่ค่อยเจอปัญหาเท่าไรนัก แต่สำหรับพืชบางชนิดอย่างเมล่อน หากเรานำมาปลูกกลางแจ้งอาจจะต้องเจอปัญหาการระบาดของแมลง หรือเชื้อราที่เกิดจากความชื้นของฝน ทั้งยังปัญหาสภาพอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงนิยมเพาะปลูกกันในโรงเรือนแทน แต่การสร้างโรงเรือนสำหรับปลูกพืชนั้นมักจะมีต้นทุนสูง ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับสินค้าเกษตรบางชนิดเท่านั้น
การปลูกพืชในโรงเรือน มีข้อดีดังนี้
- สามารถป้องกันแมลงไม่ให้เข้าไปทำลายพืชที่ปลูก ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง จึงมีความปลอดภัยจากสารพิษตกค้างในผลผลิต
- ป้องกันปัญหาที่มากับน้ำฝน เช่น โรคราน้ำค้าง ปัญหารากเน่า
- สามารถควบคุมความเข้มแสงแดดได้ง่าย ช่วยลดอุณหภูมิในช่วงที่แดดร้อนจัดได้ สามารถปลูกพืชได้ทั้งปี
โรงเรือนสำหรับปลูกโดยทั่วไป สามารถแบ่งจากโครงสร้างได้หลักๆ ดังนี้
- โรงเรือนปลูกพืชแบบทรงหลังคาโค้ง (High Tunnel Greenhouse) แบบขาเอียง
- โรงเรือนปลูกพืชแบบทรงหลังคาโค้ง (High Tunnel Greenhouse) แบบขาตรง
- โรงเรือนปลูกพืชแบบทรงหลังคาฟันเลื่อย (Saw tooth Greenhouse) หรือที่นิยมเรียกว่า หลังคา ก.ไก่
- โรงเรือนปลูกพืชแบบทรงหลังคาโค้ง 2 ชั้น (Double Roof Greenhouse)
- โรงเรือนปลูกพืชแบบปรับอากาศ (Evaporation Greenhouse)
- โรงเรือนปลูกพืชแบบแฝด (Twin Greenhouse)
วัสดุส่วนโครงสร้างโรงเรือน
- เสาโรงเรือนเหล็กกล่องกัลวาไนซ์ ขนาด 1.5 นิ้ว
- คานระนาบ คานยาวด้านข้าง เหล็กกลมชุบกันสนิมกัลวาไนซ์ ขนาด 1 นิ้ว
- โครงหลังคา แขนค้ำยัน เสากระโดงและแขนยึดโค้ง เหล็กกลมกัลวาไนซ์ ขนาด 1 นิ้ว
- คานยาวยึดโค้งด้านบน คานยาวยึดคานระนาบ เหล็กกลมกัลวาไนซ์ ขนาด 3/4 นิ้ว
- ประตูใช้เหล็กกล่องกัลวาไนซ์
วัสดุคลุมโรงเรือน
- ด้านบนคลุมด้วยพลาสติก PE 200 ไมครอน
- ด้านข้างและช่องระบายอากาศบนหลังคาคลุมด้วยตาข่ายกันแมลงสีขาวความถี่ 32 ตา
- การยึดพลาสติกและมุ้งตาข่ายติดกับโรงเรือนยึดด้วยรางล็อคและสปริงล็อคในราง
- การระบายอากาศ อาศัยการถ่ายเทอากาศจากด้านข้างโรงเรือน และด้านบนหลังคาโรงเรือน ผ่านตาข่ายกันแมลง