เคล (Kale) หรือ คะน้าใบหยิก เป็นหนึ่งในผักใบเขียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง นิยมบริโภคในกลุ่มคนรักสุขภาพ เนื่องจากอุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ
ปัจจุบัน การปลูกเคลในระบบ Plant Factory และ PFAL (Plant Factory with Artificial Lighting) กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ ทำให้ผลิตผักคุณภาพสูง ปลอดภัยจากสารเคมี และสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี
Plant Factory และ PFAL คืออะไร?
Plant Factory
Plant Factory เป็นระบบโรงเรือนที่ใช้ เทคโนโลยีควบคุมปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด ในการปลูกพืช เช่น แสง อุณหภูมิ ความชื้น และธาตุอาหาร ช่วยให้สามารถผลิตพืชที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศภายนอก
PFAL (Plant Factory with Artificial Lighting)
PFAL เป็นระบบโรงงานผลิตพืชที่ใช้ แสงประดิษฐ์ 100% เช่น หลอดไฟ LED ในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ทำให้สามารถปลูกพืชได้แม้ในพื้นที่ปิด ไม่มีแสงแดด เช่น อาคาร คลังสินค้า และชั้นใต้ดิน
ข้อดีของการปลูกเคลในระบบ Plant Factory และ PFAL
✔ ควบคุมปัจจัยแวดล้อมได้ 100%
✔ ผลิตได้ต่อเนื่องตลอดปี
✔ ไม่มีสารเคมีตกค้าง
✔ ใช้ทรัพยากรน้อย ประหยัดน้ำและปุ๋ย
✔ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อพื้นที่
✔ ลดปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืช

การปลูกเคลในระบบ Plant Factory และ PFAL
1. การเลือกสายพันธุ์เคล
สายพันธุ์ที่เหมาะกับระบบนี้ ได้แก่
- Curly Kale – ใบหยิก สีเขียวเข้ม โตเร็ว
- Red Russian Kale – ใบเรียบ สีเขียวอมม่วง ก้านสีแดง
- Lacinato Kale – ใบเรียวยาว สีเขียวเข้ม
- Baby Kale – ใบอ่อน ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับสลัด
2. การเตรียมอุปกรณ์และระบบปลูก
ระบบปลูกที่เหมาะสม ได้แก่
- NFT (Nutrient Film Technique) – ปลูกในรางน้ำบาง ๆ ที่มีสารละลายธาตุอาหารไหลผ่าน
- DFT (Deep Flow Technique) – ใช้แผ่นรองรับต้นพืชให้รากแช่อยู่ในน้ำที่มีธาตุอาหาร
- Aeroponics – ใช้ละอองน้ำที่มีธาตุอาหารพ่นให้รากพืช
วัสดุเพาะปลูก
- เพอร์ไลท์ + เวอร์มิคูไลท์ – ช่วยให้รากพืชได้รับออกซิเจนเพียงพอ และเก็บความชื้นได้ดี
อุปกรณ์ที่จำเป็น
- ถาดเพาะเมล็ด
- รางปลูก NFT หรือ DFT
- หลอดไฟ LED สำหรับปลูกพืช
- ระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และการไหลเวียนของอากาศ
- ปั๊มน้ำและระบบหมุนเวียนสารอาหาร

3. ขั้นตอนการปลูกเคลในระบบ Plant Factory และ PFAL
3.1 การเพาะเมล็ด
- ใช้ถาดเพาะเมล็ดและเติมวัสดุปลูก เพอร์ไลท์ + เวอร์มิคูไลท์
- หยอดเมล็ดลงไปในหลุมเพาะเมล็ด 1-2 เมล็ดต่อหลุม
- รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำไปวางในที่มืด 24-48 ชั่วโมง
- เมล็ดเริ่มงอก ให้นำถาดเพาะไปวางใต้แสงไฟ LED
⏳ ระยะเวลาเพาะกล้า: 10-14 วัน
3.2 การย้ายปลูก
- เมื่อต้นกล้าอายุ 15-18 วัน และมีใบจริง 2-3 ใบ ให้นำไปปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์
- นำต้นกล้าวางในรางปลูก NFT หรือแผ่นรองรับของระบบ DFT
- เติมสารละลายธาตุอาหารที่เหมาะสม
3.3 การควบคุมสภาพแวดล้อม
- แสง: ใช้หลอดไฟ LED ที่ให้ช่วงแสง 400-700 นาโนเมตร
- อุณหภูมิ: ควบคุมให้อยู่ที่ 18-25°C
- ความชื้นสัมพัทธ์: 50-70%
- การไหลเวียนอากาศ: ใช้พัดลมหรือระบบระบายอากาศ
- CO₂: ควบคุมปริมาณ CO₂ ในโรงเรือนเพื่อเร่งการสังเคราะห์แสง
3.4 การให้น้ำและสารอาหาร
- ค่า EC: 1.2-1.8 mS/cm
- ค่า pH: 5.8-6.5
- ธาตุอาหารหลัก: ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแคลเซียม
3.5 การเก็บเกี่ยว
- เคลสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 45-60 วัน
- ตัดใบล่างออกก่อน เพื่อให้ต้นแตกใบใหม่
- สามารถเก็บเกี่ยวต่อเนื่องได้ 4-6 เดือน
ตลาดและโอกาสทางธุรกิจของเคล
- ตลาดสุขภาพ: เคลเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ
- ธุรกิจอาหารแปรรูป: นำไปผลิตน้ำผักสกัดเย็น เคลอบกรอบ และอาหารเสริม
- ตลาดส่งออก: เคลเป็นที่ต้องการสูงในยุโรปและสหรัฐฯ
สรุป
การปลูกเคลในระบบ Plant Factory และ PFAL เป็นแนวทางเกษตรสมัยใหม่ที่ช่วยให้สามารถผลิตผักคุณภาพสูงได้ตลอดทั้งปี ระบบนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถ ควบคุมปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด ได้ ทำให้ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ ปลอดสารเคมี และประหยัดทรัพยากร
เคลเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีแนวโน้มตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การปลูกเคลในระบบ Plant Factory และ PFAL จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรยุคใหม่ที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต